ย้อนเวลากลับไปหาวันวานกันสักหน่อย วันนี้ผมจะพาทุกท่านมาดื่มด่ำกับความ หอม หวาน มัน ของ"ตังเมกรอบ"หรือ"ขนมไม้"ตามลักษณะของขนม ซึ่งจัดว่าเป็นขนมโบราณอย่างหนึ่ง ตามคำบอกเล่าของผู้หลักผู้ใหญ่ว่า ในสมัยก่อนนิยมนำมาวายพระ ซึ่งตังเมกรอบสามารถฉันได้ละลายในปาก ช่วยลดความหิวได้ ในช่วงวันเข้าพรรษาและวันสำคัญทางศาสนา จึงเป็นขนมชนิดหนึ่งที่ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะนำมาถวายพระอยู่เสมอๆ
"ตังเมกรอบแม่ละมุน" เป็นตังเมกรอบขึ้นชื่อ ซ. ราษฎร์อุทิศ 26 จุดเด่นคือ หอม หวาน มัน กรอบ รับประกันความอร่อย "รายการถึงพริกถึงขึง เอิร์ธสดชื่น" ก็ยังมาทำริวิวแนะนำกันมาแล้ว เพราะเขาทำกันวันต่อวัน ไม่มีค้างสต๊อก ทำเสร็จก็ส่งสินค้ากันเลย ถึงได้ขายดิบขายดีจนทำออกมาแทบไม่มันเลยล่ะครับ มีฮาลาล อิสลามทานได้ไม่ต้องกังวลใจ ท่านที่สนใจเชิญกดเข้าสั่งสินค้าจากทางร้านได้เลยจ้า
ตอนผมเป็นเด็กๆเวลาที่แม่ไปตลาด ถ้าไปเจอกับ"ขนมตังเมกรอบ"หรือที่เรามักเรียกว่า"ขนมไม้"เพราะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนไม้แท่งเล็กๆ มีความแข็งแต่ไม่เหนียวกระด้าง เคี้ยวแลัวกรอบแบบเบาๆลิ้น หอม หวาน มัน ทานเพลินดีมากๆ อธิบายง่ายๆคือรสชาติเหมือนไส้โรตีสายไหมแต่ทำออกมาเป็นแท่งๆมีความกรอบ ทุกครั้งที่สั่งมาทานจะทำให้ผมนึกถึงตอนที่เป็นเด็กทุกที ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านหลายๆท่านก็คงจะเคยทานขนมตังเมกรอบแล้วรู้ก็สึกอย่างนี้เหมือนกัน วันนี้จะจัดไปรำลึกถึงวันวานกันสักถุงดีไหมล่ะครับ
เด็กๆสมัยนี้ส่วนใหญ่คงจะไม่รู้จักกับขนมชนิดนี้กันแล้ว เพราะไม่ค่อยเห็นมาวางขายในท้องตลาดกันสักเท่าไหร่ ขนมมีความหวานก็เลยมีข้อจำกัดทำให้คนที่ไม่ชอบทานหวานหรือกลัวเป็นโน่นนี่นั่นสารพัดหลีกเลี่ยง ก็เลยทำให้ขายได้เฉพาะกลุ่มความนิยมจึงมีไม่มาก แต่สำหรับผมชอบความหวานไม่กลัวหรอกครับ ชอบได้กลัวอด555
ขนมไทยส่วนใหญ่จะหวานนำ มีความหอมมัน เป็นเสน่ห์ดึงใจเชิญชวนให้คนรู้สึกอยากรับประทาน เรามีวัตถุดิบพื้นบ้านจากธรรมชาติอย่างเช่น กะทิที่ให้ความหอมมัน น้ำตาลชนิดต่างๆที่มีความหอมและกลิ่นเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป กลิ่นธรรมชาติจากใบเตย ผลไม้และพืชผลทางการเกษตรสารพัดอย่าง วัตุถุดิบเหล่านี้ล้วนคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้ขนมไทยเป็นขนมที่อร่อย มีความโดดเด่น มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์ ที่น่าภาคภูมิใจ ฝากทุกท่านอุดหนุนขนมไทยของเรากันด้วยนะครับ
ซ. ราษฎร์อุทิศ 26
แสนแสบ หนองจอก มีนบุรี
กรุงเทพมหานคร 10510
รายการถึงพริกถึงขิง
นำสาระดีเรื่องนำตาลมาฝากทิ้งท้ายกันนะครับ
น้ำตาลพบได้ทั่วไปในเนื้อเยื่อของพืช แต่มีเพียงอ้อย และชูการ์บีตเท่านั้นที่พบน้ำตาลในปริมาณความเข้มข้นเพียงพอที่จะสกัดออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อ้อยหมายรวมถึงหญ้ายักษ์หลายสายพันธุ์ในสกุล Saccharum ที่ปลูกกันในเขตร้อนอย่างเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่สมัยโบราณ การขยายการผลิตเกิดขึ้นในคริสศตวรรษที่ 18 พร้อมกับการสร้างไร่น้ำตาลในเวสต์อินดีส และอเมริกา เป็นครั้งแรกที่คนทั่วไปได้ใช้น้ำตาลเป็นสิ่งที่ให้ความหวานแทนน้ำผึ้ง ชูการ์บีต โตเป็นพืชมีรากในที่ที่มีอากาศเย็นกว่าและเป็นแหล่งที่มาส่วนใหญ่ของน้ำตาลในศตวรรษที่ 19 หลังจากมีวิธีสกัดน้ำตาลเกิดขึ้นหลายวิธี การผลิตและการค้าน้ำตาลเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีชีวิตของมนุษย์ มีอิทธิพลต่อการก่อตั้งอาณานิคม การมีอยู่ของทาส การเปลี่ยนผ่านไปสู่สัญญาแรงงาน การย้ายถิ่นฐาน สงครามระหว่างชาติที่ครอบครองน้ำตาลในศตวรรษที่ 19 การรวมชนชาติและโครงสร้างทางการเมืองของโลกใหม่
โลกผลิตน้ำตาลประมาณ 168 ล้านตันในปี พ.ศ. 2554 โดยเฉลี่ยคนบริโภคน้ำตาล 24 กิโลกรัมต่อปี (33.1 กก. ในประเทศอุตสาหกรรม) เทียบเท่ากับอาหารปริมาณมากกว่า 260 แคลอรีต่อวัน
ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีข้อสงสัยว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูง โดยเฉพาะน้ำตาลขัดแล้ว ดีต่อสุขภาพมนุษย์ น้ำตาลมีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วน และเป็นที่สงสัยว่าเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคสมองเสื่อม โรคจอประสาทตาเสื่อม และฟันผุ มีการศึกษาหลายครั้งเพื่อยืนยันแต่ด้วยผลลัพธ์ที่หลากหลาย โดยหลักเป็นเพราะการหาประชากรที่ไม่บริโภคน้ำตาลให้เป็นปัจจัยควบคุมนั้นทำได้ยาก
ยุคโบราณและยุคกลาง
ไร่อ้อย
ในอนุทวีปอินเดียมีการผลิตน้ำตาลมาช้านาน ในยุคแรกนั้น น้ำตาลยังมีไม่มากและราคายังไม่ถูกนัก และในหลายภูมิภาคของโลกมักใช้น้ำผึ้งเติมความหวานมากกว่า แต่เดิมนั้นผู้คนจะบดอ้อยดิบเพื่อสกัดเอาความหวานออกมา อ้อยเป็นพืชพื้นเมืองของภูมิภาคเขตร้อนในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อ้อยสายพันธุ์ต่าง ๆ มีต้นกำเนิดจากแหล่งต่าง ๆ โดย Saccharum barberi มีต้นกำเนิดที่อินเดีย และ S. edule และ S. officinarum มาจากนิวกินี หนึ่งในเอกสารอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ยุคแรกสุดคือเอกสารของจีนย้อนกลับไปถึง 8 ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราช กล่าวว่าเริ่มมีการใช้ประโยชน์จากอ้อยขึ้นที่อินเดีย
น้ำตาลยังไม่มีบทบาทจนกระทั่งชาวอินเดียค้นพบวิธีการเปลี่ยนน้ำอ้อยคั้นให้เป็นผลึกน้ำตาลที่เก็บง่ายกว่าและขนส่งง่ายกว่า มีการค้นพบน้ำตาลผลึกในยุคของจักรวรรดิคุปตะ ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ในภาษาอินเดียท้องถิ่น เรียกผลึกนี้ว่า ขัณฑะ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า candy
กะลาสีชาวอินเดียที่ขนส่งเนยใสและน้ำตาลเป็นเสบียงได้แนะนำความรู้เกี่ยวกับน้ำตาลตามเส้นทางการค้า พระภิกษุนำกระบวนการผลิตผลึกน้ำตาลไปสู่ประเทศจีน ในระหว่างจักรพรรดิฮาร์ชา (ประมาณ ค.ศ. 606-647) ครองราชย์ ในอินเดียตอนเหนือ ทูตชาวอินเดียในจีนสมัยราชวงศ์ถังสอนวิธีการปลูกอ้อยหลังจากจักรพรรดิถังไท่จงเกิดความสนใจในน้ำตาล จากนั้นจีนเริ่มสร้างไร่อ้อยในศตวรรษที่ 7 เอกสารของจีนยืนยันว่าภารกิจเดินทางไปยังอินเดียสองครั้ง เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 647 เพื่อรับเทคโนโลยีการขัดน้ำตาล ในเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และจีน น้ำตาลกลายเป็นส่วนประกอบหลักในการทำอาหารและของหวาน
หลังจากการฉลองชัยชนะของอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นสุดลง ณ แม่น้ำสินธุเนื่องจากกองกำลังที่ปฏิเสธไม่เดินทางไปทางตะวันออก พวกเขาพบกับคนในอนุทวีปอินเดียปลูกอ้อยและทำผงรสหวานคล้ายเกลือ เรียกว่า Sharkara ออกเสียงกันว่า saccharum ขณะเดินทางกลับ ทหารมาซิโดเนียนำเอา "ต้นกกที่มีน้ำผึ้ง" กลับบ้านด้วย อ้อยยังไม่เป็นที่รู้จักนักในยุโรปเป็นเวลาหนึ่งพันปี น้ำตาลยังเป็นสินค้าหายาก และพ่อค้าน้ำตาลมักมีฐานะดี
ชาวครูเสดนำน้ำตาลกลับยุโรปหลังจากโครงการรณรงค์ในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่เขาพบกับคาราวานที่แบก "เกลือหวาน" ในศตวรรษที่ 12 ตอนต้น ที่เวนิสมีหมู่บ้านใกล้ ๆ เมืองไทร์ และมีการสร้างอสังหาริมทรัพย์ผลิตน้ำตาลเพื่อส่งออกไปยังยุโรป โดยที่นั่นใช้น้ำผึ้งเสริมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นสารให้ความหวานชนิดเดียวที่หาได้ในสมัยนั้น นักประวัติศาสตร์สงครามครูเสด วิลเลียมแห่งไทร์ เขียนถึงน้ำตาลในปลายศตวรรษที่ 12 ว่า "จำเป็นต่อการใช้และสุขภาพของมนุษยชาติอย่างมาก" ในศตวรรษที่ 15 เวนิสเป็นศูนย์กลางการขัดน้ำตาลและจำหน่ายน้ำตาลรายใหญ่ในยุโรป
สมัยใหม่
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสแวะพักที่เกาะลาโกเมราในหมู่เกาะคะเนรีเพื่อหาไวน์และน้ำ และตั้งใจจะอยู่ที่นั่น 4 วัน เขาพบรักกับผู้ว่าการของเกาะ เบียทริซ เด โบบาดิยา อี ออสซาริโอ (Beatriz de Bobadilla y Ossorio) และอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือน เมื่อเขาล่องเรือออกจากเกาะ เธอมอบอุปกรณ์ตัดถ่างให้เขา และกลายเป็นคนแรกที่มาถึงโลกใหม่
ชาวโปรตุเกสนำน้ำตาลเข้าสู่บราซิล ใน ค.ศ. 1540 มีโรงบดน้ำตาลอ้อย 800 แห่งในเกาะซานตาคาทารินา และมีอีก 2,000 แห่งในชายฝั่งตอนเหนือของบราซิล เดมารารา และซูรินัม การเพาะปลูกน้ำตาลเกิดขึ้นครั้งแรกในฮิสปานิโอลาใน ค.ศ. 1501 และโรงบดน้ำตาลจำนวนมากก็ถูกสร้างขึ้นในคิวบา และจาไมกา ในคริสต์ทศวรรษ 1520
เมื่อน้ำตาลสามารถหาได้ง่ายขึ้น น้ำตาลยังคงเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยในยุโรปก่อนศตวรรษที่ 18 จากนั้นได้รับความนิยมและหลังศตวรรษที่ 19 น้ำตาลถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ วิวัฒนาการของรสชาติและความต้องการน้ำตาลให้เป็นส่วนผสมสำคัญในอาหารนั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมหภาคและสังคม วิวัฒนาการเหล่านี้มีส่วนผลักดันให้อาณานิคมในเกาะและชาติในเขตร้อนที่แรงงานตามไร่อ้อยและโรงบดน้ำตาลหาเลี้ยงชีพได้ ความต้องการแรงงานราคาถูกให้ทำงานหนักที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกและขั้นตอนเพิ่มความต้องการการค้าทาสจากแอฟริกา (โดยเฉพาะแอฟริกาตะวันตก) หลังจากเลิกทาส เกิดความต้องการแรงงานที่มีค่าตอบแทนจากเอเชียใต้ (โดยเฉพาะอินเดีย) ทาส และแรงงานที่มีค่าตอบแทนถูกนำไปยังแคริบเบียนและอเมริกา อาณานิคมมหาสมุทรอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะแปซิฟิก และแอฟริกาตะวันออกและเนทัล การรวมชนชาติในสองศตวรรษหลังเกิดจากจากความต้องการน้ำตาล
น้ำตาลยังนำไปสู้การปฏิวัติอุตสาหกรรมของอดีตอาณานิคม ตัวอย่างเช่น ร้อยโท เจ.แพเทอร์สัน จากแคว้นเบงกอล โน้มน้าวรัฐบาลอังกฤษว่าอ้อยสามารถปลูกได้ในบริติชอินเดียโดยมีข้อดีมากมาย และค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในอินดีสตะวันตก ผลก็คือ เกิดโรงงานผลิตน้ำตาลในรัฐพิหาร อินเดียตะวันออก
ช่วงสงครามนโปเลียน ผลิตภัณฑ์จากชูการ์บีตเพิ่มขึ้นในทวีปยุโรปเนื่องจากการนำเข้าเป็นไปอย่างลำบากจากการปิดล้อม ใน ค.ศ. 1880 ชูการ์บีตเป็นแหล่งผลิตน้ำตาลที่สำคัญในยุโรป น้ำตาลมีปลูกในลินคอล์นไชร์ และภูมิภาคอื่น ๆ ในอังกฤษ แม้ว่าสหราชอาณาจักรยังคงนำเข้าน้ำตาลส่วนใหญ่จากอาณานิคมอยู่ต่อไป
จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 น้ำตาลมีขายในรูปของชูการ์โลฟ (sugarloaf) ซึ่งจำเป็นต้องใช้กรรไกรตัดก้อนน้ำตาล (sugar nips) หลายปีต่อมา น้ำตาลเม็ดมีขายแบบใส่ถุง
น้ำตาลก้อนมีผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 19 ผู้ประดิษฐ์น้ำตาลก้อนคนแรกคือชาวโมราวีชื่อ Jakub Kry ผู้จัดการบริษัทน้ำตาลแห่งหนึ่งในดาชิตเซ เขาเริ่มผลิตน้ำตาลก้อนหลังจากจดสิทธิบัตรให้กับสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวเป็นเวลาห้าปี เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1843 เฮนรี เทต จากเทตแอนด์ไลล์ (Tate & Lyle) เป็นผู้ผลิตน้ำตาลก้อนอีกรายหนึ่ง โดยมีโรงทำน้ำตาลที่ลิเวอร์พูลและลอนดอน เทตซื้อลิขสิทธิ์การผลิตน้ำตาลก้อนจากยูจีน แลงเกน ชาวเยอรมัน ซึ่งเคยคิดค้นวิธีการผลิตน้ำตาลก้อนเมื่อปี ค.ศ. 1872
Tag
ตังเมกรอบ ตังเม ขนมไม้ ขนมไทย โบราณ น้ำตาลกรอบ เจ้าอิสลาม มีฮาลาล อิสลามทานได้ จังหวัดตราด ต้นตำรับ ทานยาก ขนมหายาก